garden of the lazy (p. 28-29)
DESCRIPTION
ลุงจอนิ ขยี้ใบพลูสูดกลิ่นก่อนหยิบยื่นให้เราสูดดมกลิ่นหอม เมื่อเราเข้าใจในธรรมชาติ ที่เป็นแล้วธรรมชาติ จะตอบแทนเราเองTRANSCRIPT
ลุงจอนิ ขยี้ใบพลูสูดกลิ่นก่อนหยิบยื่นให้เราสูดดมกลิ่นหอม
“ ”
ความขี้เกียจมักอยู่ในกมลสันดานของมนุษย์ทั่วไปแล้วผล
ของมันค่อนไปในแง่ลบแต่สำหรับ ‘จอนิ โอ่โดเชา’ ปราชญ์ชาวบ้าน
เผ่าปกาเกอญอผู้กร้านโลกแห่งขุนเขาแม่วาง กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า
ผลพวงจากความขี้เกียจสามารถออกดอกกลายผลไว้กินไว้ใช้และ
ขายเพื่อดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องลงทุน
ลุงจอนิ อดีตผู้ใหญ่บ้านหนองเต่า อำเภอแม่วาง จังหวัด
เชียงใหม่ เติบโตมาพร้อมกับหน้าที่ทำนาเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป
กระทั่งได้เรียนหนังสือและร่วมกิจกรรมกับมิชชันนารีคาทอลิก ทำให้
เขาได้ค้นพบคุณค่าดั้งเดิมของตนเอง ค้นเจอรากเหง้าและเข้าใจ
ระบบความคิดความเชื่อของชาวปกาเกอญอ ผ่านการลองผิดลองถูก
นับครั้งไม่ถ้วนบนห้วงเวลาที่ผ่านมายาวนานนับครึ่งค่อนชีวิต
จนได้รับการยกย่องให้เป็น’ปราชญ์ชาวเขา’ผู้ขีดเส้นทางชีวิตของเขา
เองและส่งต่อความรู้ไปสู่ชนรุ่นหลัง ให้ลุกยืนได้ด้วยตัวเองอย่างใน
ทุกวันนี้
ย้อนกลับไปกว่าสามสิบปีในยุคที่พืชเชิงเดี่ยวถูกกำหนดว่า
ขายได้ราคา ลำพังเพียงที่ดินและแรงงานนั้นไม่พอต่อการทำเกษตร
หากเป็น ’เงิน’ ต่างหากที่จำเป็นอันจะแปรเปลี่ยนเป็นเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย
และยาฆ่าแมลงได้ เมื่อไม่มีก็ต้องกู้และกู้เรื่อยมาจนเกิดหนี้เพิ่มขึ้น
เป็นวัฏจักรหมุนวนไปเช่นนั้น จนวันหนึ่งลุงจอนิทนแบกรับผลจาก
ความล้มเหลวของเกษตรเชิงเดี่ยวที่ประโยชน์ตกอยู่กับนายทุนมาก
กว่าเกษตรกรไม่ไหวจึงหันมาเป็นนายตัวเองทำเกษตรแบบผสมให้
พออยู่พอกินได้ ภายใต้ความคิดที่ว่าสองมือคือแรงงานส่วนที่ดินก็
เป็นทุนอยู่แล้วเพียงแค่มองข้ามคำว่าเงินที่เป็นสิ่งสมมติไปจะพบว่า
ข้าวปลาต่างหากที่เป็นของจริง
คนทั่วไปถือว่าเงินคือสิ่งสำคัญแทบทุกอย่างถูกตีเป็น
มูลค่าวัตถุกลายเป็นสัญญะในการแบ่งระดับชนชั้นเทคโนโลยีเข้า
ครอบงำ จนความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่หลายคนถวิลหา ลุงจอนิ
ฝากข้อความชวนคิดไว้ว่า “เทคโนโลยีคือที่มาแห่งปัญหา เมื่อมีก็
ต้องใช้เมื่อใช้ก็ต้องเสียบปลั๊กเติมน้ำมันเมื่อเสียก็ต้องซ่อมเมื่อพัง
ก็กลายเป็นเศษเหล็กไร้ค่าย่อยสลายยากทำลายธรรมชาติคิดๆดู
แล้วเราก็เสียให้กับเทคโนโลยีมาตลอดเผลอๆอาจจะมากกว่าตอน
ซื้อเสียด้วยซ้ำ”
“แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่านี่คือยุคของเทคโนโลยี ยุคของวัตถุเราก็
ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ด้วยแต่ของเหล่านี้ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดในการดำร
งอยู่ของชีวิต เราต้องเหลียวมองธรรมชาติที่มีอยู่จริง ธรรมชาติที่มีมา
พร้อมกับตัวเราและพร้อมจะจากหายไปได้ทุกเมื่อ สองมือของคน
เราตางหากคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้าง พ่อแม่เราสร้างนี่ต่างหากคือสิ่ง
มหัศจรรย์ เราไม่มีมือ เราก็คงกดมือถือไม่ได้จะเถียงว่าใช้เท้าแทนก็
ไม่เป็นไรแต่นึกดูให้ดีว่าสุดท้ายเราก็ต้องพึ่งธรรมชาติอยู่ดี”
ใ น ส ว น เ กษต ร เ ชิ ง ผ ส ม ที่ ถู ก ก ล่ า ว ข า น ว่ า เ ป็ น
‘สวนของคนขี้ เกียจ’ ถูกปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติ ร่วม
ด้วยเมล็ดพันธุ์ไม้ที่ถูกหยอด ต่อกิ่ง ติดตาบ้าง ทั้งไม้ป่า ไม้ผล
ไม้ใช้สอย และไม้ไผ่ รวมถึงการเฝ้ามองการเจริญเติบโตอยู่ห่าง ๆ
ครั้นพอมีนกมีสัตว์ป่ามากินผล ก็ทิ้งมูลเป็นเมล็ด เป็นปุ๋ยไปเรื่อย
กลายเป็นวงจรที่หมุนไปตามธรรมชาติ เป็นป่าเล็ก ๆ ในป่าใหญ่
ท่ามกลางขุนเขาแม่วางอันเป็นผลผลิตจากแนวคิดของลุงจอนิซึ่งอัด
แน่นไปด้วยเรื่องราวแห่งการเรียนรู้ ด้วยต้นไม้ป่าที่ขึ้นเองตาม
ธรรมชาตินับร้อยชนิดแผ่กิ่งก้านสาขากันแดดให้แก่พืชผักหมุนเวียน
แทรกด้วยเห็ดและหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาให้เก็บกินตลอดปี กอปรกับต้น
พลับป่าที่ผ่านการติดตาต่อกิ่งกลายเป็นพลับพันธุ์ดีออกลูกให้ส่งขาย
ได้ทุกปี
ลุงจอนิเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ให้เห็นว่าที่ดิน สมองและสอง
มือที่เรามีนั้นเพียงพอแล้ว ที่จะเลี้ยงชีวิตเราให้มีความสุขตลอดไป
หากปราศจากไฟโลภะที่พร้อมจุดติดในใจของมวลมนุษย์ทุกคน
เมื่อเราเข้าใจในธรรมชาติ
ที่เป็นแล้วธรรมชาติ
จะตอบแทนเราเอง
สวนของคนขี้เกียจ...